มองเมืองไทยของคนบ้านนอก

Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ทางลูกรัง - Mike Piromporn

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

ตำนานร้านกาแฟนางเงือกไซเรนกับร้านกาแฟไทย

ตำนานร้านกาแฟนางเงือกไซเรนและแล้วสตาร์บัคส์ก็เปลี่ยนโลโก้อีกครั้งในปีนี้ ค.ศ. 2011 เนื่องจากเป็นอีกก้าวสำคัญของสตาร์บัคส์ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ ตราโลโก้ใหม่ของสตาร์บัคส์เป็นการนำเสนอธุรกิจในรูปแบบใหม่ สตาร์บัคส์จำหน่ายกาแฟที่มีคุณภาพพร้อมกับผลิตภัณฑ์อีกมากมายนอกเหนือจากกาแฟ โลโก้สตาร์บัคส์ล่าสุดได้ตัดคำว่า Starbucks และคำว่า Coffee ออกไปจนหมด เหลือเพียงรูปนางเงือกไซเรนสีขาวบนพื้นสีเขียว
         สตาร์บัคส์บอกว่า ตราสินค้าโฉมใหม่ยังคงสะท้อนถึงประวัติความเป็นมาและอนาคตที่สดใส ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ที่กาแฟ ไม่ว่าจะที่ร้านกาแฟหรือในร้านขายของทั่วไปอีกต่อไป การเน้นที่นางเงือกไซเรนและลบวงกลมออก เพื่อให้ไม่จำกัดกรอบอยู่เพียงแต่กาแฟอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สตาร์บัคส์ยังคงเป็นธุรกิจที่เน้นด้านกาแฟเป็นหลักเช่นเดิม
         ปัจจุบัน ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ จำกัด ตั้งอยู่ที่เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน เปิดร้านไปทั่วโลกมากกว่า 16,000 สาขา ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศอเมริกาเหนือ อังกฤษ ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศในเขตตะวันออกกลาง
         สตาร์บัคส์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำทางด้านการดำเนินธุรกิจกาแฟ การคั่วกาแฟ และถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟของโลก ใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักเป็นร้านที่ให้บริการขายกาแฟและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟภายใต้ชื่อ 'ร้านสตาร์บัคส์ คอฟฟี่' โดยยึดนโยบาย one cup at a time, one customer at a time ให้บริการแบบพิเศษเฉพาะบุคคลเพื่อมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ในการทำกาแฟทุกแก้วให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด
         ตัวอย่างการปรับโฉมตราสินค้าของสตาร์บัคส์ ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของสตาร์บัคส์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงออกว่าบริษัทให้ความสำคัญกับพันธมิตร ลูกค้าและชุมชน
         รวมทั้งทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทของตนเอง
ภาพ : พรรวี สุรมูล /  business2press.com

       ขอนำข่าวของร้านกาแฟชื่อดังของเมืองนอกมากล่าว ซึ่งร้านกาแฟในไทยแนวหน้าหลายแห่งพยายามเดินตาม เมื่อ5-6 ปีก่อนนี้ ร้านกาแฟของไทยบางแห่งมีบริการอาหารด้วย 4-5ปีแรกบูมมาก   รับพนักงานแผนกปรุงอาหาร(กุ๊ก)มากมายเพราะเปิดพร้อมกันนับสิบสาขา วันเวลาผ่านไปสถานการณ์เปลี่ยน   เริ่มนำวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ คือการใช้ซอสสำเร็จรูป ให้ครัวกลางผลิต(จ้างโรงงานผลิต) อ้างว่าหากทำเช่นนี้แล้วรสชาดอาหารจะเหมือนกันทุกแห่ง อาหารทุกชนิดใช้ซอสสำเร็จ ผลปรากฏว่า รสชาดอาหารกลับแย่ลง ทั้งหมดทั้งปวงก็มาลงที่พนักงานครัว เริ่มเบนเป้าหมายไปที่กาแฟแล้วให้ความสำคัญกับอาหารน้อยลง และเมื่อยอดขายอาหารลดลงก็ต้องลดพนักงาน ลดขนาดลง ไม่ขยายสาขาอีก ผู้บริหารของไทยไม่เอาแบบอย่างเขา คือเขาให้ความสำคัญพนักงานของเขาทุกระดับ ผิดกับบ้านเรา ยังห่างใกลเขาสุดกู่เลยละ

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

แรงงานไทยดีจริงหรือ

"สภาลูกจ้างฯ"ชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก

mhtml:file://C:\Documents%20and%20Settings\Owner\My%20Documents\Quality%20of%20Life%20-%20Manager%20Online%20-%20สภาลูกจ้างฯชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก.mht!http://www.manager.co.th/images/blank.gif

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
1 เมษายน 2554 17:26 น.

mhtml:file://C:\Documents%20and%20Settings\Owner\My%20Documents\Quality%20of%20Life%20-%20Manager%20Online%20-%20สภาลูกจ้างฯชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก.mht!http://www.manager.co.th/images/blank.gif

mhtml:file://C:\Documents%20and%20Settings\Owner\My%20Documents\Quality%20of%20Life%20-%20Manager%20Online%20-%20สภาลูกจ้างฯชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก.mht!http://pics.manager.co.th/Images/554000004420201.JPEG
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
mhtml:file://C:\Documents%20and%20Settings\Owner\My%20Documents\Quality%20of%20Life%20-%20Manager%20Online%20-%20สภาลูกจ้างฯชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก.mht!http://www.manager.co.th/images/blank.gif
mhtml:file://C:\Documents%20and%20Settings\Owner\My%20Documents\Quality%20of%20Life%20-%20Manager%20Online%20-%20สภาลูกจ้างฯชี้ลูกจ้างอยู่รอดด้วยโอทีเป็นหลัก.mht!http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ประธานสภาลูกจ้างฯ เผย ลูกจ้างในปัจจุบันไม่สามารถอยู่ได้โดยอาศัยค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเดียว ชี้ต้องอาศัยค่าล่วงเวลา เบี้ยขยันเป็นหลัก แจงค่าจ้างขั้นต่ำไม่ใช่ต้นทุนการผลิตแท้จริง ด้านสภาอุตฯ หวั่น กระทบส่งออก เหตุสู้ต้นทุนเพื่อนบ้านไม่ได้ ต้องพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพ
      
       วันนี้(1เม.ย.) กระทรวงแรงงานร่วมกับมูลนิธิอารมณ์พงศ์พงัน จัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ : แรงงานไทยดีจริงหรือ? ณ ห้องสมประสงค์ 202 ชั้น 2 อาคารมหิตลาธิเบศร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
      
       
นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปรับค่าจ้างประจำปีต้องไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ระดับค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ ที่ผ่านมามีการนำเรื่องคุณภาพการดำรงชีวิตของแรงงานมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาด้วย แรงงานต้องมีความสุขในการทำงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น อัตราค่าจ้างขึ้นต่ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครจากเดิม (ประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำฉบับที่ 3 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 ) อยู่ที่ 206 บาท ปัจจุบันตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำฉบับที่ 5 (บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2554 ) อยู่ที่ 215 บาท โดยใช้ฐานคำนวณจากปีที่แล้วมีภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพของคนงานเพื่อให้อยู่ตามอัตภาพควรอยู่ที่ 213 บาท เมื่อรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นที่มาของตัวเลขล่าสุดของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ 215 บาท ซึ่งเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำยังเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับแรงงานแรกเข้าสู่การทำงาน หรือแรงงานไร้ฝีมือ แต่ในส่วนการพัฒนาแรงงานไทยสู่แรงงานมีฝีมือ ขณะนี้ได้มีการเตรียมการใช้อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานอาชีพจะเริ่มจาก 11 สาขาอาชีพ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรมกับแรงงานที่มีฝีมือ สร้างแรงจูงใจให้แรงงานได้มีการพัฒนาฝีมือตนเองให้มีความรู้ความสามารถและมีค่าจ้างที่สูงขึ้น
      
       
นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ค่าจ้างกับการดำรงชีพของผู้ใช้แรงงานยุคปัจจุบันมิได้ขึ้นอยู่กับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหลัก แต่สามารถอยู่รอดได้โดยอาศัย เงินโอทีหรือค่าล่วงเวลาและในขณะที่ผู้ประกอบการมองว่า การปรับเพิ่ม ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตจึงอยากให้มีการปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ค่าจ้างขั้นต่ำมิได้มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตที่แท้จริง อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ดี แต่ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการในการควบคุมราคาสินค้าควบคู่กันไปด้วย
      
       นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับ
การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีม๊อบ..ค่าจ้างขั้นต่ำไม่ปรับ หรือขึ้นค่าจ้าง..ปรับลดค่าล่วงเวลา (OT) การดำรงอยู่ของลูกจ้างปัจจุบันไม่สามารถอยู่ได้โดยอาศัย ค่าจ้างขั้นต่ำเพียงอย่างเดียวแต่ต้องอาศัยค่าล่วงเวลา OT ค่าเบี้ยขยัน วันนี้..ประเทศไทยต้องก้าวข้ามเรื่อง ค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่การกำหนดโครงสร้างค่าจ้างตามมาตรฐานวิชาชีพ ป อีก 4 ปี ประเทศไทยต้องก้าวสู่การเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีตามกรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC.2015) และการพัฒนาแรงงานไทยให้มีทักษะฝีมือ ย่อมเป็นที่ต้องการของนายจ้าง / ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม มากกว่าการคำนึงถึงการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ ท้ายสุดคือเพื่อทำให้เกิดค่าจ้างที่เป็นธรรมแก่ผู้ใช้แรงงาน
      
       ด้าน
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทยมีสัดส่วนเพื่อการส่งออกร้อยละ 70 และเพื่อการบริโภคภายในประเทศร้อยละ 30 ซึ่งต้องแข่งขันในตลาดการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีค่าแรงต่ำกว่าย่อมมีต้นทุนการผลิตที่ได้เปรียบกว่า และถ้ามีการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบสูงคือกลุ่ม SMEs และกลุ่มรับช่วงงานเพราะ ค่าจ้างแรงงานอยู่ในสัดส่วนถึงร้อยละ 40 - 50 ของต้นทุนการผลิตรวม ดังนั้นหากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกเพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าจะสูงขึ้นจะส่งผลให้การสั่งซื้อสินค้าลดลง แต่ขณะเดียวกัน
      
       
จากการคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ : GDP มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในแต่ละปี หากไม่มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำลูกจ้างก็อยู่ไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้คำนึงถึงคือต้องมีการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น
      
       ขณะที่
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน กล่าวว่าปัจจัยการผลิต 4 ด้าน คือ ที่ดิน วัตถุดิบ ทุน และแรงงาน แรงงานในที่นี่ไม่ได้หมายถึง คนแต่เป็น การผลิตที่ได้จากคนซึ่งอาจประกอบด้วย กำลังแรง กำลังสมอง การที่คนหนึ่งคนจะก้าวสู่การเป็นผู้สร้างการผลิตหรือก้าวสู่วัยทำงานอย่างน้อย 15 ปี ต้องมีการลงทุนไปเท่าไหร่ นี่คือ ทุนมนุษย์ดังนั้นหากมองว่าต้นทุนการผลิตต้องควรปรับเพิ่มกำไรปีละ 10% ทุนมนุษย์ก็ต้องมีการปรับเพิ่มกำไรหรือปรับเพิ่มค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 10% เช่นกัน ทั้งนี้ยังมีความเห็นว่า ค่าจ้างขั้นต่ำยังควรมีไว้สำหรับแรงงานแรกเข้าทำงานเท่านั้น